
- การลงทุนคืออะไร
ตอบ การลงทุน คือ การใช้สอยทรัพยากรในลักษณะต่างๆ โดยหวังจะได้รับผลตอบแทนกลับมา มากกว่าที่ลงไปในอัตราที่พอใจภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยทั่วไปหมายถึงการใช้เงินลงทุน เช่น การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ การลงทุนในบ้านและที่ดิน การลงทุนทองคำ ฯลฯ
- หลักการลงทุนที่สำคัญ มีกี่ประการ
ตอบ 6 ประการคือ
- ความปลอดภัยของเงินลงทุน(Security of principal)หมายถึงการลงทุนที่มุ่งรักษาไว้ซึ่งเงินลงทุน โดยหวังที่จะได้รับเงินเงินลงทุนเป็นการแน่นอน นโยบายการลงทุนแบบนี้เป็นนโยบายค่อนข้างConservative เพราะคำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เงินต้นสูญไป การลงทุนที่ยึดถือหลักความปลอดภัยได้แก่ การฝากเงินกับธนาคาร หรือการซื้อหลักทรัพย์รัฐบาล เป็นต้น
- เสถียรภาพของรายได้(Stability of income) หมายถึง การลงทุนที่ให้รายได้โดยส่ำเสมอ หรือได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นการแน่นอนและสม่ำเสมอ ผู้ลงทุนธรรมดา ที่ไม่ใช่นักเก็งกำไรมักต้องการได้รับดอกเบี้ย หรือปันผลเพื่อจะนำไปใช้จ่ายตามความต้องการได้ ดังนั้น การฝากธนาคารหรือลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ได้รับดอกผลอย่างสม่ำเสมอ
- ความงอกเงยของเงินลงทุน(Capital growth) โดยทั่วไปแล้วผู้ลงทุนมักจะตั้งความมุ่งหมายไว้ว่า เงินที่เขาลงทุนไปนั้นจะต้องมีค่าเพิ่มพูนขึ้นความงอกเงยของเงินทุนเกิดขึ้นได้จากการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่กำลังขยายตัว
- ความคล่องตัวในการซื้อขาย(Marketability) หมายถึง การเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่ซื้อง่ายขายคล่อง คือเป็นหลักทรัพย์ที่เป็นที่ต้องการของตลาด หลักทรัพย์บางชนิดจำหน่ายได้ง่าย แต่บางอย่างจำหน่ายได้ยาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคา ขนาดและชื่อเสียงของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ โดยทั่วไปแล้วหุ้นของบริษัทใหญ่ย่อมจำหน่ายได้ง่ายกว่าหุ้นของบริษัทเล็ก
- การกระจายเงินลงทุน(Diversification) ในการลงทุนไม่ควรทุ่มเงินลงทุนไปในหลักทรัพย์ชนิดใดชนิดหนึ่ง เพราะถ้าธุรกิจนั้นเกิดล้มเหลว เงินที่ลงทุนไปนั้นจะสูญเสียไปทั้งหมด การกระจายการลงทุนจะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ลงทุนได้มาก
- หลักเกี่ยวกับภาษี(Tax status) ในการลงทุนต้องพิจารณาด้วยว่าผลตอบแทนที่ได้รับจะต้องเสียภาษี หรือได้รับการยกเว้นภาษี ถ้าต้องเสียภาษีด้วยจะทำให้ผลตอบแทนที่ได้จริงน้อยลง ฉะนั้นในการลงทุนผู้ลงทุนควรจะต้องคำนึงถึงผลตอบแทนภายหลังจากการหักภาษีแล้วหลักทรัพย์รัฐบาลย่อมได้รับการยกเว้นภาษี ดังนั้นผู้ลงทุนจึงได้รับผลตอบแทนเต็มที่ กลยุทธ์การลงทุน(Investment strategies) ในการลงทุนจำเป็นต้องกลยุทธ์ หรือวิธีการอันแยบยลในการลงทุนเพื่อให้เกิดผลจากการลงทุนมากที่สุด หากไม่มีการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนอาจทำให้การลงทุนไม่ตื่นเต้น ไม่จุดหมาย และบางทีอาจทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับไม่คุ้ม ในการกำหนดกลยุทธ์นั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือ กำหนดเป้าหมายการลงทุน (Setting investmentgoals) เสียก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนที่กำหนดไว้
- เป้าหมายการลงทุนของบุคคลและครอบครัวมีกี่อย่าง อะไรบ้าง
ตอบ 3 อย่างคือ
- เป้าหมายเพื่อเป็นเงินทุนยามฉุกเฉิน(Goals forprecautionary funds) ทุกคนย่อมมีความจำเป็นที่จะต้องการมีเงินสักก้อนหนึ่งไว้ใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน โดยทั่วไปจะกันเงินประมาณ 6-7 เท่าของเงินเดือนมาเป็นเงินทุนสำหรับยามฉุกเฉินไว้ใช้จ่ายเมื่อยามจำเป็น เช่น กรณีที่เกิดตกงานขึ้นมาจะได้มีเงินจำนวนนี้ไว้ใช้จ่ายได้ในขณะที่กำลังหางานใหม่ เมื่อฉุกเฉินขึ้นมา ดังนั้นเงินจำนวนนี้จะต้องนำไปลงทุนในทางที่มีความคล่องตัว ที่สุดและอย่างปลอดภัยที่สุด เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อไรดังนั้นจึงต้องมีเงินที่สามารถนำมาใช้ได้ในทุกเวลา
- เป้าหมายที่ใช้เงินทุนเฉพาะอย่าง(Goals for specificfunds) เงินทุนเฉพาะอย่างที่จัดสรรไว้เป็นพิเศษในแต่ละเหตุการณ์แต่ละวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อใช้ตอนเกษียณอายุ หรือเพื่อใช้ทัศนาจรท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นทันทีทันใดเหมือนกรณีเตรียมเงินทุนเผื่อยามฉุกเฉินเพราะเหตุการณ์เหล่านี้เราทราบล่วงหน้าได้คาดคะเนได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร เราจึงได้จัดวางแผนจัดเตรียมไว้และส่วนมากมักจะเกิดขึ้นในอนาคต
- เป้าหมายเพื่อใช้เป็นเงินทุนในการเก็งกำไร(Goals forspeculation funds) เงินทุนสำหรับใช้เพื่อเก็งกำไรนี้หากเกิดสูญไปหรือขาดทุนขึ้นมาก็ไม่ทำให้กระทบกระเทือนต่อการดำรงชีพปกติของเราเพราะเป็นเงินที่ไม่ได้อยู่ในการวางแผนการเงินปกติของบุคคล เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจึงสามารถนำมาลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนสูงได้
- แนวทางการลงทุนในหุ้นให้ประสบผลสำเร็จมีอะไรบ้าง
ตอบ 1.ต้องมีความรู้
ต้องศึกษาความรู้ทางด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ต้องศึกษาแนวทางการลงทุนในทุกแนวทางที่คุณสามารถหาอ่านได้ ซึ่งจะทำให้คุณมองเห็นข้อดี ข้อเสีย และมองเห็นหลักการที่เหมาะสมกับตนเอง และเมื่อลงมือปฏิบัติก็ควรให้ความยืดหยุ่นกับหลักการที่ได้สั่งสมมาให้เหมาะสมกับภาวะการณ์ที่เกิดขึ้น … การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตนเองและเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้ที่ประสบผลสำเร็จและล้มเหลวจะช่วยให้คุณมีมุมมองที่กว้างขึ้น
2.ต้องมีเงินลงทุน
เงินลงทุนเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่ส่งผลต่อแผนการลงทุนเป็นอย่างยิ่ง เช่น ถ้ามีเงินลงทุนน้อย การปรับเปลี่ยนพอร์ตฯ ก็เป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าไม่มีเงินเลยก็ต้องบังคับให้ไปเล่นในเงื่อนไขที่ยากขึ้น ซึ่งก็เสี่ยงสูง, สำหรับผู้ที่มีเงินลงทุนค่อนข้างเยอะ การเข้าซื้อขาย การปรับเปลี่ยนพอร์ตฯ จะยากขึ้นตามจำนวนเงินลงทุนกับสภาพคล่องของปริมาณการซื้อขายต่อวันหรือต่อหุ้นของบริษัทนั้นๆ… ควรระลึกไว้เสมอว่า ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้ ดังนั้นการวางแผนเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ในอนาคตย่อมทำให้คุณได้เปรียบกว่า
3.ต้องมีเวลาติดตามการลงทุน
ไม่มีการลงทุนในกิจการใด ที่คุณลงทุนไปแล้วไม่ต้องติดตามผลการลงทุนแล้วคุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีได้ตามที่หวังไว้คุณต้องให้เวลาในการลงทุนให้เหมือนหรือเทียบเท่ากับการเปิดกิจการของตนเอง…ผลลัพธ์จากการลงทุนเหมือนเป็นตัวสะท้อนความพยายามที่คุณให้กับมัน อย่าลืมว่าคุณกำลังลงทุนให้กับตัวเองและครอบครัว
4.ต้องรู้จักบริหารจัดการเงินลงทุนให้เหมาะสมกับเวลาและเป้าหมายการลงทุนที่คุณได้วางแผนไว้
ณ ที่นี้จะหมายถึงให้นำข้อ 1 ถึง 3 มารวมเข้าด้วยกัน และบริหารจัดการให้เหมาะสม หรืออาจพูดง่ายๆ ก็คือต้อง ถูกที่ ถูกเวลา และให้เหมาะสมกับพอร์ตฯ การลงทุน ความรู้ และประสบการณ์ที่มีอยู่ในขณะนั้น
- เทคนิคการลงทุนมีกี่แบบ อะไรบ้าง
ตอบ 3 แบบ ได้แก่
Dollar Cost Averaging (DCA)
วิธีแรกคือ Dollar Cost Averaging (DCA) ซึ่งเป็นการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเป็นงวดๆ โดยผู้ลงทุนจะต้องแบ่งเงินลงทุนเป็นจำนวนเท่าๆ กัน และนำไปลงทุนเป็นประจำตามระยะเวลาที่กำหนดไว้เป็นงวดๆ เช่น ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน โดยจะไม่สนใจว่าราคาหุ้น ณ ขณะนั้นเป็นเท่าไร
การลงทุนแบบนี้ช่วยจำกัดการซื้อขายของผู้ลงทุนรายย่อยที่มักเป็นไปตามอารมณ์ (ความโลภและความกลัว) เช่น อยากซื้อหุ้นตามกระแสในเวลาที่หุ้นปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง และทำในสิ่งตรงกันข้ามคือขายทิ้งและหนีออกจากตลาดหุ้นในช่วงที่ทุกคนตื่นกลัวเมื่อดัชนีหุ้นดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์จากการซื้อขายตามอารมณ์คือการ “ซื้อแพงขายถูก” แต่วิธี DCA นี้จะเสมือนเป็นการสร้างวินัยให้เข้าลงทุนอย่างสม่ำเสมอและมีผลพลอยได้คือการลดความเสี่ยงที่มีอยู่กับหุ้นไปในตัว ในยามที่ตลาดดี ราคาหุ้นแพง ผู้ลงทุนจะซื้อหุ้นได้น้อย แต่ในยามที่ตลาดไม่ดี ราคาหุ้นถูก ผู้ลงทุนก็จะซื้อหุ้นได้ในปริมาณที่มากขึ้นด้วยเงินจำนวนเดียวกัน เป็นการ ถัวเฉลี่ยต้นทุนการลงทุน ให้ลดลง โดยจำนวนหน่วยลงทุนในพอร์ตจะเพิ่มขึ้นทุกๆ งวด
Value Averaging (VA)
วิธีที่สองคือ Value Averaging (VA) เป็นกลยุทธ์ที่คิดค้นโดย ดร. ไมเคิล เอเดลสัน (Michael E. Edleson) จากบริษัทมอร์แกนสแตนเลย์ โดยในอดีตท่านเคยเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) แนวคิดนี้ดังกล่าวต่อยอดมาจากวิธีการลงทุนแบบ DCA ซึ่งเน้นการซื้อขายหน่วยลงทุนหรือหุ้น ด้วยเงินลงทุนที่เท่ากันอย่างสม่ำเสมอ แต่ต่างกันตรงที่ VA จะควบคุมให้มูลค่าสุทธิของพอร์ตการลงทุนเพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ พูดง่ายๆ ก็คือ DCA เน้น “ต้นทาง” คือเงินลงทุนที่ผู้ลงทุนต้องใส่ไป ส่วน VA เน้น “ปลายทาง” คือมูลค่าพอร์ตการลงทุน
Portfolio Rebalancing
วิธีที่สามคือ Portfolio Rebalancing ซึ่งเป็นหลักการปรับพอร์ตการลงทุนที่เหมาะกับผู้มีเงินลงทุนเป็นก้อนอยู่แล้วและต้องการจัดการการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว วิธีนี้ต่างจาก DCA และ VA คือไม่ได้เป็นการใส่เงินเพิ่มทุกงวดหรือตั้งเป้าให้มูลค่าสุทธิของพอร์ตโตขึ้นตามระยะเวลา แต่จะกำหนดมูลค่าพอร์ตที่เราต้องการ “คงไว้” ในช่วงเวลาหนึ่ง และทำการซื้อเข้าขายออกเมื่อมูลค่าตลาดของพอร์ตการลงทุนลดลงหรือเพิ่มขึ้นจากจุดที่เราต้องการ เรียกว่าเป็นการ “ปรับสมดุล” หรือ rebalance นั่นเอง ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติจะกำหนดขอบเขตไว้ว่ามูลค่าการลงทุนจะเบี่ยงเบนไปจากที่เรากำหนดได้เท่าใด เช่น 5%, 10%, หรือ 20% ของมูลค่าที่เราเริ่มลงทุน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำการปรับสมดุลทุกครั้งที่มูลค่าพอร์ตเปลี่ยนแปลง
- ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนมีอะไรบ้าง
ตอบ 1.ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในหลักทรัพย์ ปัญหาทางเศรษฐกิจอาจส่ง ผลกระทบต่อปัญหาอื่น ๆ ได้อีกมากมาย และก่อให้เกิดผลกระทบทางจิตวิทยาต่อผู้ลงทุนได้มากที่สุด ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ที่ผู้ลงทุนควรคำนึงถึงได้แก่ สภาพคล่องทางการเงิน อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศหรือค่าเงิน การผลิต ภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศ
- ปัจจัยทางการเมือง เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัย การเมืองในประเทศ เนื่องจากรัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบายต่าง ๆ ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น การกำหนดอัตราภาษี การส่งเสริมการลงทุน การหาตลาดต่างประเทศ เป็นต้น
- ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ปัจจัยจากธรรมชาติอันได้แก่ ฝนแล้ง น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือภัยพิบัติต่าง ๆ รวมทั้งความไม่สงบ ภายในประเทศหรือบริเวณชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาวะทางเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ
- ปัจจัยเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์หรือตัวหลักทรัพย์ เช่น การเกิดข่าวลือการเก็งกำไรที่มากเกินไป จนปัจจัยพื้นฐาน รองรับไม่ไหว กฎระเบียบที่เข้มงวดหรือหย่อนยานจนเกินไป อัตรามาร์จิน (Margin) และดอกเบี้ยที่ไม่เอื้อต่อนักลงทุน เหล่านี้คือปัจจัยทางลบของตลาด ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวหลักทรัพย์ เช่น ผลกำไร ฐานะการเงินของบริษัทจดทะเบียน การประกาศเพิ่มทุน การประกาศจ่ายเงินปันผล หรือแม้แต่ข่าว เกี่ยวกับผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียน ก็อาจส่งผลกระทบ ต่อราคาหลักทรัพย์ได้ทั้งสิ้น
