
- การศึกษาวิชาความแข็งแรงของวัสดุ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับอะไร
ตอบ กําลังต้านของวัสดุหรือส่วน โครงสร้าง อยู่ในสภาวะสมดุลโดยกล่าวถึงการหา
ก. ความสัมพันธ์ระหว่างภาระภายนอก กับหน่วยของแรงต้านทานที่เกิดขึ้นใน โครงสร้างของวัสดุ
ข. ความสัมพันธ์ระหว่างน้าหนักบรรทุกกับการเปลี่ยนแปลงรูปร่างในส่วนโครงสร้าง
- สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัตถุ เกิดจากอะไร
ตอบ สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัตถุนั้นพิจารณาได้ 2 กรณีคือ
1) เกิดแรงต้านทานภายในชิ้นส่วน เพื่อสร้างความสมดุลกับแรงภายนอก ถ้าแรงต้าน ภายในนั้นมากเกินไปจากคุณสมบัติของวัสดุนั้น ๆ วัสดุก็จะพิบัติไป
2) เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเมื่อมีน้าหนักกระทำมากเกินไป ให้เกิดแรงต้านมากขึ้นด้วย และในขณะเดียวกันวัตถุมีการเปลี่ยนรูปร่าง (deformation) พร้อมกันไป วัตถุที่เปราะก็จะพังพิบัติ ก่อนการเห็นการเปลี่ยนรูปร่าง
- ชนิดของนํ้าหนักหรือแรงที่กระทำภายนอก ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ 1. ลักษณะของแรงกระทำบนวัตถุ เช่น น้าหนักคงที่ (static load) น้าหนักกระทำซ้า ๆ (repeated load)และน้าหนักกระแทก (impact load)
- ลักษณะของพื้นที่การรับแรง
2.1 น้าหนักแผ่เฉลี่ย (distribution load) มีทั้งแบบแผ่อย่างสม่าเสมอ และแบบแผ่ อย่างไม่สม่าเสมอ (uniformly and non–uniformly load)
2.2 น้าหนักที่กระทำบนพื้นที่เล็กมาก ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ของวัตถุนั้น (concentrated or point load)
- ลักษณะที่ทำให้วัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง แบ่งเป็น
3.1 แรงกระทำตามแนวแกน (axial load)
3.2 โมเมนต์ดัด (bending load)
3.3 แรงบิด (torsional or twisting load)
- ความสามารถในการรับกําลังของวัตถุ นอกจากจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและขนาดของ วัสดุแล้วยังขึ้นอยู่กับอะไร
ตอบ อุณหภูมิและระยะเวลาในการรับกำลัง นั่นคือเมื่อชิ้นส่วนของโครงสร้างที่ถูก กระทำด้วยแรงต่างๆเป็นเวลานานหลายปีภายใต้การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในลักษณะต่างๆไม่ว่าจะ เป็นเพิ่มขึ้นหรือลดลง ก็จะเป็นผลให้กำลังการรับน้าหนักของวัสดุนั้นๆเปลี่ยนไปด้วย
- SI Units ประกอบด้วยหน่วยรากฐานกี่หน่วย
ตอบ SI Units ประกอบด้วยหน่วยรากฐาน 7 หน่วยดังนี้
1) ความยาว วัดเป็น เมตร (m)
2) มวล วัดเป็น กิโลกรัม (kg)
3) เวลา วัดเป็น วินาที (s)
4) กระแสไฟฟ้ า วัดเป็น แอมแปร์ (A)
5) อุณหภูมิทางเทอร์โมไดนามิกส์ วัดเป็น เคลวิน (K)
6) ความเข้มแห่งการส่องสว่าง วัดเป็น แคนเดลา (cd)
7) ปริมาณสาร วัดเป็น โมล (mol)
- ภาระ (load) ที่กระทำต่อวัตถุแบ่งออกเป็น
ตอบ ภาระภายนอก (external loads) มีความแตกต่างกันหลายรูปแบบสำหรับภาระภายนอก ซึ่งเราจะแบ่งประเภทตามแรงที่กระทำต่อผิวของวัตถุ (surface forces) และแรงที่เกิดจากน้าหนัก ของวัตถุ (body force)
ก) แรงกระทำที่ผิววัตถุ (surface force) เป็นแรงที่กระทำต่อผิวสัมผัส โดยกระจายอยู่บน พื้นที่สัมผัสระหว่างวัตถุ พื้นที่นั้นเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบพื้นที่ทั้งหมดของวัตถุและแรงที่กระทำ ต่อผิววัตถุนี้สามารถที่จะกำหนด หรือแทนด้วยแรงรวมจุดเดียวได้
ข) แรงจากน้าหนักวัตถุ (body force) เกิดขึ้นเมื่อวัตถุหนึ่งใช้แรงกระทำกับอีกวัตถุหนึ่ง โดยวัตถุนั้นปราศจากการติดต่อกันโดยตรงระหว่างวัตถุตัวอย่างก็คือ ผลของแรงดึงดูดของโลก หรืออำนาจสนามแม่เหล็ก ถึงแม้ว่าแรงของวัตถุจะมีผลต่ออนุภาค (particle) เล็ก ๆ ของ ส่วนประกอบวัตถุ แรงเหล่านี้จะถูกแทนด้วยแรงแรงเดียว (single concentrated force) ที่กระทำต่อ วัตถุในกรณีของแรงดึงดูดของโลก เราเรียกว่า น้าหนักของวัตถุ โดยกระทำผ่านจุดศูนย์ถ่วง
ค) แรงปฏิกิริยารองรับ (support reactions) แรงที่พื้นผิว (surface force) จะถูกกําหนด เป็นจุดรองรับ (support) ระหว่างตัววัตถุ ซึ่งเรียกว่า แรงปฏิกิริยา (reaction) สำหรับโจทย์ประเภท 2 มิติ เช่น วัตถุอยู่บนพื้นราบ
ภาระภายใน (internal loadings)
สิ่งที่สำคัญที่สุดของหลักสถิตยศาสตร์ เมื่อนำไปใช้งานจะต้องหาแรงลัพธ์ (resultant force) และโมเมนต์ (moment) ที่กระทำภายในวัตถุ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องหาคู่กันเมื่อเกิดภาระ ภายใน วัตถุมีแรงภายนอกสี่ทิศทางมากระทำเพื่อที่จะหาภาระภายใน ที่กระทำเฉพาะพื้นที่ภายใน วัตถุ เราใช้วิธี การตัด sections เพื่อให้วัตถุถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน และเขียนไดอะแกรมอิสระ (free–body diagram) เมื่อเราตัด section และพิจารณาส่วนตัดข้างล่าง จะเกิดการกระจายของแรง ภายในที่กระทำบนพื้นที่ส่วนที่ตัด (expose area) แรงเหล่านั้นจะทำให้วัตถุสมดุล การกระจายของ แรงที่เราไม่รู้ค่านั้น เราสามารถใช้หลักการสถิตยศาสตร์ หาผลลัพธ์ของแรงภายใน และโมเมนต์ได้
- ในการวิเคราะห์ออกแบบโครงสร้างหรือเครื่องจักรกลใด ๆ เราต้องมีข้อพิจารณาอยู่กี่ข้อ อะไรบ้าง
ตอบ 1. ภายในโครงสร้างแข็งแรงพอที่จะรับน้าหนักหรือแรงที่กระทำได้หรือไม่
- ภายในโครงสร้างแกร่งพอที่จะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนรูปร่างมากเกินไปหรือไม่
ในวิชากลศาสตร์ เราจะพิจารณาแรงในวัตถุโดยไม่คำนึงถึงขนาดที่เปลี่ยนแปลง แต่ใน วิชากลศาสตร์ของแข็ง เราจะต้องพิจารณาทั้งสองอย่างนี้พร้อมกันไปด้วย
- แรงที่กระทำต่อวัสดุหรือส่วนของโครงสร้างใด ๆ สามารถแบ่งออกเป็นกี่ชนิด
ตอบ 3 ชนิด คือ
1.แรงที่อยู่นิ่ง (static load)
เป็นแรงที่กระทำต่อชิ้นส่วนของโครงสร้างอย่างช้า ๆ จนกระทั่งมีค่าถึงค่าหนึ่ง แล้วจะมีค่าคงที่อยู่ตลอดไปหรือเกือบเท่ากับค่านั้นตลอดไป เช่น แรงที่กระทำบนอาคารต่าง ๆ แรงเนื่องจากความดัน ของภายในหม้อความดันที่กระทำต่อรอยเชื่อม
2.แรงที่กระทำซ้ำ ๆ (repeated load)
หมายถึง แรงหรือน้าหนักที่กระทำต่อโครงสร้างหรือวัสดุหลายครั้งซ้ำ ๆ กัน และสลับกันไปมา ในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น แรงกระทำต่อข้อเหวี่ยงของเครื่องยนต์ เพลารถไฟ ก้านลูกสูบของเครื่องอัด อากาศ ฯลฯ
3.แรงกระแทก (impact load)
เป็นแรงที่กระทำต่อชิ้นส่วนในระยะเวลาอันสั้นโดยปกติแล้วไม่สามารถที่จะหาระยะเวลาที่แรง กระแทกนี้กระได้ล่วงหน้า เช่น แรงกระแทกที่เกิดจากรถยนต์วิ่งข้ามสะพาน หรือการปล่อย น้าหนักกระทบบนส่วนของโครงสร้าง เป็นต้น
- ความเค้น (Stress) คืออะไร
ตอบ แรงภายนอกที่มากระทำผ่านจุดศูนย์ถ่วงของพื้นที่หน้าตัดของวัสดุนั้น หรือ คือแรงภายนอกต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ใช้สัญลักษณ์ว่า σ (sigma)
- ชนิดของความเค้นที่เกิดขึ้นกับวัสดุสามารถแบ่งออกได้เป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ 3 ชนิด คือ
1.ความเค้นดึง (tensile stress) สัญลักษณ์ σt จะเกิดขึ้นเมื่อวัตถุอยู่ภายใต้แรงดึง โดย แรงดึงจะต้องตั้งฉากกับพื้นที่หน้าตัดที่กระทำนั้น ความเค้นดึงจะให้เครื่องหมายแสดงเป็นบวก
- ความเค้นอัด (compressive stress) สัญลักษณ์ σc จะเกิดขึ้นเมื่อวัตถุอยู่ภายใต้ แรงอัดโดยแรงอัดจะต้องกระทำตั้งฉากกับพื้นที่หน้าตัดของท่อนวัตถุที่กระทำนั้น ความเค้นดึงจะ ให้เครื่องหมายแสดงเป็นลบ
- ความเค้นเฉือน (shear stress) สัญลักษณ์ τ (tau) เป็นแรงภายนอกที่มากระทำต่อ วัตถุนั้นโดยพยายามทำให้วัตถุเกิดการขาดจากกันตามแนวระนาบที่ขนานกับทิศทางของแรงนั้น
